Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Pull Back dengan Throwback: Alat Penting untuk Trader Berpengalaman
นักเทรดหลายคนมักหลงทางเมื่อพบเห็นการชะลอตัวของราคา ไม่รู้ว่าต้องทำรายการหรือเพียงแค่รอสัญญาณต่อไป ปัญหาหลักมาจากการสับสนระหว่าง Pull Back กับ Throwback และการกลับตัวแนวโน้มจริง (Reversal) ที่แม้มีลักษณะคล้ายกัน แต่นัยสำคัญกับผลตอบแทนแตกต่างกันสิ้นเชิน
ความแตกต่างที่ต้องจำให้ชัด: Pull Back vs Throwback
การ Pullback เกิดขึ้นในแนวโน้มราคาที่ตกลง มันคือการดีดตัวขึ้นมาชั่วขณะก่อนกลับลงเพื่อสร้างจุดต่ำใหม่ (Lower Low) ตามแนวโน้มเดิม ส่วน Throwback เป็นปรากฏการณ์ในแนวโน้มขาขึ้น ที่ราคาลงมาสักเล็กน้อยแต่ไม่ทำลายแนวรับ จากนั้นจึงกลับตัวขึ้นไปสร้างจุดสูงใหม่ (Higher High)
ทั้งคู่นี้มีจุดร่วมสำคัญ: ราคาไม่หลุดแนวรับหรือแนวต้าน และประเมิณการถูกสนับสนุนโดยปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่ต่ำกว่า ซึ่งนี่คือสิ่งที่แยกความแตกต่างจากการกลับตัวแนวโน้มจริง
Reversal ไม่ใช่ Pull Back: ปัญหาที่ทำให้นักเทรดขาดทุน
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดคือการปฏิบัติต่อ Reversal ราวกับว่าเป็น Pull Back โดยมองหาการเข้าสถานะในทิศทางเดิม เมื่อไหร่ที่ Reversal เกิดขึ้น สัญญาณแตกต่างอย่างมาก:
สัญญาณของ Reversal:
สัญญาณของ Pull Back/Throwback:
กลยุทธ์การเข้าสถานะแบบ Pull Back ที่ให้ผลจริง
1. การใช้ Pullback/Throwback ในช่วงหลังจาก Breakout
เมื่อราคาทำลายแนวต้านหรือแนวรับสำคัญออกไป ส่วนใหญ่จะตามมาด้วยการทดสอบกลับ (Retest) ของระดับนั้น นี่คือช่วงที่ Pull Back เกิดขึ้น แทนที่จะกระโดดเข้าสถานะทันที ให้รอให้ราคากลับมาทดสอบและใช้นั่นเป็นจุดเข้า ตั้ง Stop Loss ที่จุดต่ำสุดของแท่ง Breakout ที่เกิดขึ้น วิธีนี้ให้ราคาที่ดีกว่าและ Risk-Reward ที่ชาญฉลาด
2. กลยุทธ์บันได (Step Trading)
ในแนวโน้มที่ชัดเจน ราคามักเคลื่อนตัวขึ้นลงเป็นขั้นบันได Throwback ในแนวโน้มขาขึ้นมักจบที่ระดับกำหนดของแท่งแรก ส่วน Pullback ในแนวโน้มขาลงจะจบที่ระดับสูงก่อนหน้า ใช้ระดับเหล่านี้เป็นจุดเข้าสถานะซ้ำสำหรับการเทรดต่างระดับเวลา
3. Pull Back ทีแนวเส้นแนวโน้ม (Trendline)
เส้นแนวโน้มที่ลากอย่างถูกต้องสามารถบอกได้ว่า Throwback หรือ Pullback จะหยุดไว้ตรงไหน ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาจะ Throwback ลงมาทดสอบเส้นแนวโน้มที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับ โดยอาจลงมาไม่ไกลเกินไป จุดการสัมผัสนี้เองที่ทำให้ส่วนใหญ่เทรดเดอร์มือเก่าใช้เป็นจุดเข้าซื้อ ส่วนแนวโน้มขาลง ให้ใช้เส้นแนวโน้มสำหรับหาจุด Pullback เข้าขาย
4. Fibonacci Retracement เพื่อการประมาณการที่แม่นยำ
ในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง Throwback ของราคามักหยุดอยู่ที่ระดับ 23.6%, 38.2% หรือ 50% ของการเคลื่อนตัวก่อนหน้า ส่วน Pullback ก็เช่นกัน ใช้ระดับ Fibonacci เหล่านี้เป็นจุดเข้าสถานะหลายแท่ง (Scale In) และตั้ง Stop Loss เมื่อราคาเกินระดับ 50-61.8% ที่บ่งบอกถึงการพลิกแปลงแนวโน้ม
การใช้ Volume เพื่อแยกแยะ Pull Back จากสัญญาณเตือนแนวโน้ม
ปริมาณการซื้อขายต่ำเป็นลายเซ็นของ Pull Back และ Throwback ที่แท้จริง หากคุณเห็นราคายอนตัวลงหรือขึ้นมา แต่ Volume ยังค่อนข้างต่ำ นั่นคือสัญญาณที่ผู้ลงทุนเพียงแค่หาโอกาสเข้าใหม่เท่านั้น แต่ถ้า Volume พุ่งสูงโดยไม่คาดการณ์ นั่นอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจริง อย่าแสวงหาจุดเข้าสถานะในกรณีนี้
สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องระวัง
หลายคนเข้าสถานะโดยหวังว่า Pullback/Throwback จะเกิดขึ้น แต่ราคายังคงวิ่งไปในแนวโน้มโดยไม่มีการหยดตัว ในกรณีเช่นนี้ อย่าบังคับให้มีการ Pull Back ถ้าหากพื้นฐานทางเทคนิคไม่ตรงกัน ให้ทำตามราคาแทน อีกเรื่องหนึ่งคือ Stop Loss ต้องตั้งไว้ให้เหมาะสม ไม่ใช่แค่ “ใกล้ ๆ” แนวรับแนวต้าน ให้อยู่นอกจุดสูงหรือต่ำสุดของแท่งขณะที่BreakOut เกิดขึ้น
สรุป
Pull Back และ Throwback เมื่อเข้าใจแล้วคือเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการเข้าสถานะด้วยเงื่อนไขที่ได้เปรียบ แกะกลยุทธ์ 4 ข้างต้นให้หมดไปใช้ในแต่ละสถานการณ์ เพิ่ม Volume และ Fibonacci เป็นตัวยืนยัน แล้วคุณจะมีความมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจ หากใช้อย่างถูกต้อง อัตราส่วนชนะแพ้ของคุณจะต้องดีขึ้นแน่นอน