Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
REIT adalah dana properti yang menghasilkan pendapatan secara berkelanjutan
REIT (Real Estate Investment Trust) หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นเครื่องมือลงทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยเข้ามาทำการซื้อขายตั้งแต่ปี 2018 และกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับผู้ลงทุนที่มองหารายได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ของ REIT ในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน สิ่งนี้เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้และมูลค่าของกองทรัสต์นั้นเอง
REIT คือการลงทุนแบบไหน
กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็น “ระบบการระดมทุน” ที่ผู้จัดการกองทรัสต์จะรวบรวมเงินทุนจากการขายหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนรายต่าง ๆ จากนั้นนำเงินนั้นไปบริหารจัดการทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ได้ เช่น โรงแรม โกดัง ห้างสรรพสินค้า ที่ดิน หรือแม้แต่โครงข่ายการสื่อสาร
REIT คือกองทรัสต์ที่มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่บรรดารายได้ที่เก็บได้จากการให้เช่าและผลประโยชน์อื่น ๆ จะถูกนำมาจ่ายคืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นเงินปันผล ทำให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดที่ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดปี อนึ่ง REIT ยังดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ลงทุน
ทำไมต้องลงทุนใน REIT
สำหรับเจ้าของทรัพย์สิน
ผู้ถือครองทรัพย์สินที่สร้างรายได้สามารถนำสินทรัพย์นั้นมาเข้าสู่กองทรัสต์ เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมจากการขายหน่วยลงทุนให้แก่นักลงทุนต่างคน ด้วยวิธีนี้เจ้าของทรัพย์สินสามารถนำเงินที่ระดมได้ไปพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่
สำหรับผู้ลงทุน
REIT คือช่องทางเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล สามารถเริ่มต้นด้วยการซื้อหน่วยลงทุนจำนวนน้อยก็ได้ นอกจากนี้ยังมีมืออาชีพคอยดูแลและบริหารจัดการกองทรัสต์อย่างมืออาชีพ พร้อมทั้งจัดสรรผลประโยชน์ให้อย่างโปร่งใสภายใต้การตรวจสอบของหน่วยงานภาครัฐ
REIT กับ Property Fund ต่างกันอย่างไร
REIT คือการพัฒนารูปแบบต่อเนื่องจาก Property Fund (กองทุนอสังหาริมทรัพย์) ซึ่งมีการปรับปรุงให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งสองตัวเลือกมีความแตกต่างในประเด็นสำคัญ 3 ประการ
ด้านโครงสร้างและการกำกับดูแล
Property Fund มีลักษณะเป็นกองทุนรวมที่ไม่จำเป็นต้องมีใบรับฝากหลักทรัพย์ ในขณะที่ REIT ถูกจัดตั้งขึ้นในรูปแบบกองทรัสต์ภายใต้การดูแลของ กลต. (คณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และต้องได้รับการอนุมัติจาก ตลท. (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
ด้านพลังลงทุน
Property Fund มีข้อจำกัดในการลงทุน เพราะสามารถลงทุนได้เฉพาะในรายการที่กำหนดในลิสต์บวก (Positive List) ของ กลต. และห้ามลงทุนในต่างประเทศ ส่วน REIT คือตัวเลือกที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า สามารถลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศและสามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ถึง 10% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม
ด้านการออกจำหน่ายหน่วยและการบริหาร
Property Fund มีวิธีการออกจำหน่ายหน่วยคล้ายกับกองทุนรวมทั่วไป ไม่ต้องรักษาสถานะ free float หรือจัดประชุมผู้ถือหน่วย ในทางตรงข้าม REIT คือโครงสร้างที่มีการบริหารจัดการคล้ายบริษัทจดทะเบียนโดยต้องมีผู้ถือหน่วยรายย่อยไม่น้อยกว่า 15% และต้องประชุมผู้ถือหน่วยทุกปี
สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน Property Fund เก่า ๆ ไม่มีการออกจำหน่ายใหม่อีกแล้ว เนื่องจากได้รับการกำหนดให้ดำเนินการในรูปแบบ REIT ทั้งหมด นอกจากนี้ REIT ยังสามารถรวมถึง Infrastructure Fund (กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน) ได้เช่นกัน
REIT แบ่งออกมากี่ประเภท
จำแนกตามสิทธิในอสังหาริมทรัพย์
ประเภท Freehold (กรรมสิทธิ์แท้)
ทรัสต์เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อย่างแท้จริง สามารถดำเนินการจัดเก็บรายได้จากค่าเช่าและผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกิดจากสินทรัพย์นั้น เนื่องจากทรัสต์เป็นเจ้าของแท้ หน่วยลงทุนจึงมีศักยภาพที่จะปรับขึ้นตามการเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ เช่น การสร้างสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมบนที่ดิน อันเป็นผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนสูงขึ้นไปด้วย
ประเภท Leasehold (สิทธิการเช่า)
ทรัสต์ไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ แต่ได้สิทธิในการใช้งานจากเจ้าของตามสัญญาเช่า ทรัสต์นำอสังหาริมทรัพย์นั้นมาบริหารเพื่อจัดเก็บรายได้แล้วนำมาจ่ายให้ผู้ถือหน่วย อย่างไรก็ดี เมื่อหมดสัญญาเช่า ทรัสต์จะสูญเสียสิทธิในการใช้งานนั้น ส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนค่อย ๆ ลดลงตามระยะเวลา จนกระทั่งหมดสัญญา มูลค่าจะลดเหลือศูนย์เพราะไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้อีก
จำแนกตามวิธีการลงทุน
การลงทุนโดยตรง (Direct Investment)
ทรัสต์เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิหรือสิทธิการใช้งานอสังหาริมทรัพย์โดยตรง
การลงทุนโดยอ้อม (Indirect Investment)
ทรัสต์ถือหุ้นในบริษัทอื่นซึ่งบริษัทนั้นจึงเป็นผู้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
จำแนกตามประเภทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
REIT ค้าปลีก (Retail REIT)
บริหารรายได้จากห้างสรรพสินค้า ศูนย์ค้าปลีก ของขวัญ เอาท์เล็ต และสถานที่ซื้อขายสินค้าอื่น ๆ
REIT ที่อยู่อาศัย (Residential REIT)
บริหารรายได้จากโรงแรม คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ หอพักนักเรียน และสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย
REIT บริการสุขภาพ (Healthcare REIT)
บริหารรายได้จากโรงพยาบาล คลินิกและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
REIT สำนักงาน (Office REIT)
บริหารรายได้จากอาคารสำนักงานต่าง ๆ
REIT โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure REIT)
บริหารรายได้จากโครงข่ายสื่อสาร ท่อส่งพลังงาน และสิ่งสร้างสรรค์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน
มูลค่า REIT ขึ้นอยู่กับอะไร
มูลค่ากองทรัสต์ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่ มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่ทรัสต์ถือครองและกระแสรายได้ที่คาดว่าจะสามารถอำรวยได้ในระยะยาว
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์
รูปแบบสิทธิของทรัสต์เป็นตัวกำหนดแนวโน้มมูลค่าสำคัญ Leasehold REIT คือ REIT ที่มูลค่าสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ สภาพเศรษฐกิจของท้องถิ่น การลงทุนก่อสร้าง สาธารณูปโภค และทำเลที่ตั้งเหล่านี้ต่างก็มีบทบาทต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาอสังหาริมทรัพย์
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระแสรายได้ที่คาดว่าจะเก็บได้
สภาพเศรษฐกิจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดการเพิ่มขึ้นของผู้เช่าสำนักงาน Office REIT ก็จะเก็บรายได้มากขึ้นและจ่ายปันผลเพิ่มขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง REIT ที่ลงทุนในสินทรัพย์โรงแรมจะเก็บรายได้น้อยลง ส่งผลให้ปันผลลดลงตามไปด้วย
ข้อดีและข้อจำกัดของการลงทุนใน REIT
ข้อดีของการลงทุนใน REIT
สภาพคล่องสูง
REIT คือเครื่องมือที่ซื้อขายได้ง่ายในตลาด SET (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ผู้ลงทุนสามารถเข้าและออกจากตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว
การกระจายความเสี่ยง
การเพิ่มหน่วยลงทุน REIT เข้าไปในพอร์ตการลงทุนจะช่วยให้ความเสี่ยงกระจายออกไป นอกจากนี้ยังสามารถเลือกประเภท REIT ที่แตกต่างกันเพื่อเก็บบัญชีที่สมดุล
ความโปร่งใส
กองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานภาครัฐ การจดทะเบียน การเสนอขาย และการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบและเข้มงวด
รายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
REIT คือเครื่องมือที่ออกแบบมาให้สร้างกระแสเงินสดปกติ ผู้ลงทุนจึงได้รับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตลอดปี
ข้อจำกัดของการลงทุนใน REIT
ภาระเก็บภาษี
รายได้จากเงินปันผลของ REIT ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% หรือนำไปคำนวณรวมในรายได้ประจำปีตามอัตราภาษีส่วนตัว ซึ่งสำหรับผู้ที่มีรายได้สูง อัตราภาษีอาจสูงกว่า 10% ได้
ความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย
REIT คือเครื่องมือที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น นักลงทุนอาจหันไปพิจารณาตัวเลือกอื่น ๆ เช่น สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ ส่งผลให้ราคา REIT ปรับตัวลด
ข้อดีและข้อจำกัดเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างสตุกะก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้การลงทุนนั้นเข้ากับความต้องการและเป้าหมายของตัวเอง
ตัวอย่าง REIT ที่ซื้อขายในไทย
CPNREIT: ทรัสต์สำหรับสิทธิการเช่าที่ดิน
CPNREIT เป็น Leasehold REIT ที่นำทรัพย์สินของศูนย์การค้าเซ็นทรัล อาคารสำนักงาน และโรงแรมฮิลตันพัทยามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร มีอัตราเงินปันผลประมาณ 8.35% ต่อปีตามราคาปัจจุบันที่ 9.85 บาท
IMPACT: ทรัสต์อสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คเมืองทอง
IMPACT ถูกจัดเป็น Freehold REIT ที่ถือครองที่ดิน อาคาร และศูนย์ประชุม ณ อิมแพ็คเมืองทองจำนวน 4 ส่วน ปัจจุบันมีอัตราเงินปันผล 4.69% ต่อปีตามราคาปัจจุบันที่ 12.80 บาท
WHART: ทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ
WHART ถือเป็นทรัสต์แบบผสมระหว่าง Freehold และ Leasehold ที่บริหารโกดังจัดเก็บสินค้า ปัจจุบันเสนออัตราเงินปันผล 7.63% ต่อปีตามราคาปิดที่ 9.50 บาท
JASIF: กองทุนโครงสร้างพื้นฐานจัสมิน
JASIF ถูกจัดเป็น Freehold Infrastructure Fund ที่ถือกรรมสิทธิในเส้นใยแก้วนำแสง 1,680,500 คอร์กิโลเมตร และได้รับรายได้จากการให้ TTTBB เช่าตามสัญญา ปัจจุบันมีอัตราเงินปันผล 13.73% ต่อปีตามราคาปัจจุบันที่ 6.70 บาท
สรุป: REIT คือตัวเลือกสำหรับรายได้ปกติ
กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) คือ ทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารายได้สม่ำเสมอที่สูงกว่าดอกเบี้ยฝากประจำ ด้วยเงินปันผลที่ทรัสต์บริหารจากการให้เช่าและผลประโยชน์อื่น ๆ จากอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน REIT คือการตัดสินใจที่ต้องพิจารณาหลายด้าน ทั้งข้อดี เช่น สภาพคล่องสูงและการกระจายความเสี่ยง รวมถึงข้อจำกัด เช่น ภาระภาษีและความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดของแต่ละทรัสต์และประเมินความเข้ากันกับเป้าหมายการลงทุนและสถานะทางการเงินของตนเอง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เป็นไปตามความคาดหวังในที่สุด